วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

KAZAKHSTAN : ALMATY อัลมาตี้ ... เล็กๆน้อยๆพอกรุบกริบ

ไม่ได้เขียนบล็อคมายาวนานนนนน
แล้วนี่คือว่างระหว่างรอขึ้นเครื่องกลับไทย 
ก็เลยอยากจะแชร์อะไรเล็กน้อยเกี่ยวกับคาซัคสถานนิดนึง
เพราะเห็นว่าเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีคนไทยมากัน และก็คงไม่มากัน 555 
เอาจริงๆบินมาคาซัคฯรอบนี้ถ้านับบริษัทส่งมาก็รอบที่ 3 แล้ว
 แต่ถ้ามาเองด้วยก็รอบที่ 4 แล้ว แต่รอบนี้พิเศษตรงที่มาคนเดียว 
เลยไม่มีเพื่อนคุยด้วย  ก็เลยต้องหาอะไรทำ
เอามา เริ่ม..

- คาซัคสถานเป็นประเทศอดีตสหภาพโซเวียตมาก่อน เลยใช้ภาษารัสเซียได้ 
แต่ภาษาราชการแบบ official เป็นภาษาคาซัคฯภาษาเดียว 
แต่ๆๆๆเอกสารที่ติดต่อราชการทั้งหมดต้องแปลเป็นสองภาษาคือคาซัคและรัสเซียนะจ๊ะ 
จะมารัสเซียหรือคาซัคฯอย่างเดียวไม่ได้ค่าาา

ประเทศอดีตสหภาพโซเวียต เครดิตตามภาพเลยนาจา

- คนคาซัคฯจริงๆไม่ได้หน้าฝรั่ง แต่คืออาตี๋อาหมวยที่ตัวขาว ไม่เหลืองเหมือนคนจีน 
หน้าเอเชียมากกก มองโกลก็คล้ายอยู่ เกาหลีก่อนศัลก็ได้อ่ะ 
แต่หุ่นดี ขาเรียวยาว มีความน่าอิจฉา 
เอารูปมาจาก Astanatimes  ค่ะ 
ที่เห็นก็คือประธานาธิบดีนาซาบาเยฟของคาซัคฯค่ะ 
เป็นอยู่คนเดียว เป็นมานาน และนี่ว่าท่านก็คงเป็นตลอดไป 555 อุ่ย คุกๆๆๆๆ

นาซาบาเยฟคือคนกลาง หัวขาวๆ

- คนคาซัค nice และเป็นมิตรกว่าคนรัสเซียเยอะมาก พูดภาษาอังกฤษก็พอได้บ้าง
 แต่ภาษารัสเซียจะง่ายกว่า

- อาหารที่พลาดไม่ได้ที่ต้องชิมคือเนื้อม้า อย่ามาอี๋ อร่อยและดีต่อสุขภาพนาจา 
คลอเรสเตอรอลต่ำ ราคาแพงจ้ะ ไม่ได้กินถูกๆ และต้องชิมนมม้า (อูมึซ) ด้วย 
เน้นว่า"ชิม"ก็พอ  เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

Horse Rib Eye Steak ค่ะ
ของร้าน Line Brew ร้านนี้อร่อย เนื้อกำลังดี ชิ้นใหญ่มาก
รอบที่แล้วก็กินที่นี่ เอาจริงมากี่ทีก็กินสเต็กม้าทุกที

- อัลมาตี้ไม่ใช่เมืองหลวง แค่เคยเป็น ตอนนี้เมืองหลวงคือกรุงอัสตาน่า 
คำว่าอัลมาตี้ จริงๆมาจากการเขียนทับศัพท์ของคำว่าอัลมาตึย 
แต่ภาษารัสเซียจริงๆเรียกเมืองนี้ว่า อัลม่า-อาตา (Алма-Ата) 
ฉะนั้นใครใช้ภาษารัสเซียไม่ต้องงง เวลาผันเนาะ 
คำว่าอัลม่า แปลว่า แอปเปิ้ล 
แต่ถ้าจะตามหาแอปเปิ้ลท้องถิ่นต้องรอเดือนกันยา-ตุลานู่น แอปเปิ้ลตอนนี้มีแต่ของจีนจ้ะ

เห็นชัดเลยว่าอัลมาตี้ติดกับทางเอเชียกลางมากกว่า
แถมยังเห็นด้วยว่ามีน้ำมันนาจาาาา
เครดิต http://theplanetd.com/images/kazakhstan-map2.png ค่ะ

- ป้ายต่างๆที่นี่ยังเป็นสองภาษาคือคาซัคกับรัสเซีย ไม่ว่าจะป้ายถนนจนถึงฉลากอาหาร
 ยกเว้น เมโทรที่มีแค่ภาษาคาซัคกับอังกฤษบ้างบางป้าย

ชื่อสถานีเป็นภาษาคาซัคค่ะ
ก็พอจะเดาการออกเสียงแบบรัสเซียได้บ้าง แต่ไม่รู้ถูกไหม 5555

- ค่ารถเมล์และเมโทรที่นี่ถูกมากกกก ประมาณ 9 บาทต่อเที่ยว 
แต่ความจริงคือเรียกแท็กซี่ตลอดเลย เพราะเมโทรสายสั้นไปไม่ถึง 
แท็กซี่โบกข้างทาง ป้ายดำไม่เกิน 70 บาทต่อเที่ยว แต่เรียก Uber ดีสุด 
ส่วนการบอกสถานที่ที่จะไปต้องบอกชื่อถนนตัดกัน เช่น นราธิวาสฯ-สาทร เป็นต้น

- เบียร์ที่นี่ถูกมากกก Heineken 0.5L ป๋องละ 58 บาท  
เบียร์รัสเซียอย่าง Baltika นี่ป๋องละ 20 บาทเอง 
ไม่แปลกที่ขี้เมาที่นี่จะเยอะหน่อย

จากป้ายราคาให้หารด้วย 10 ง่ายสุดค่ะ

- ช่วงปลายหน้าร้อน เบอร์รี่ต่างๆไม่สวยแล้ว แต่แตงโมและเมล่อนที่นี่อร่อยมากกกก 
หวานมากกก ลูกใหญ่มาก กินทุกวันเลย

- ที่นี่มี Starbucks, KFC, Burger King 
ส่วน McDonalds เพิ่งเปิดที่นี่แค่สาขาเดียวเท่านั้น 
ส่วนร้านอาหารอื่นๆ อร่อยๆก็มีแต่เป็นอาหารอุซเบก จอร์เจีย รัสเซีย เกาหลี 
ใครอยากรู้ร้านไหนอร่อยบ้าง ไปดู top 10 ใน TripAdvisor ดูค่ะ
นี่ไปมาเกือบหมดแล้ว อวดดดด

ตัวอย่างอาหารจอร์เจีย เป็นขาแกะย่างแบบชัชลึคค่ะ
แนะนำร้าน Daredzhani อร่อยจริง

อาหารเกาหลี ร้าน Korean House
ร้านนี้ก็ดี ถ้าอยากกินหมู ให้เข้าร้านเกาหลีค่ะ

- อาคารบ้านเรือนเค้าเหมือนรัสเซีย ตึกส่วนใหญ่ยังเป็นครุสชอฟสไตล์ 
คือ 5 ชั้น เพดานต่ำ ไม่มีลิฟท์ ส่วนครุสชอฟเป็นใครนั้น
 เขาคือผู้นำโซเวียตหลังสตาลิน ผู้ทำให้โซเวียตและจีนแตกหัก
อุ่ย ดูยิ่งใหญ่ รายละเอียดถ้ามีคนถามไว้จะมาเล่านะคะ

- อัลมาตี้เป็นเมืองที่อากาศดีมากกกก เพราะมีภูเขาล้อมรอบ
บางทีก็มโนได้ว่าอยู่สวิสเซอร์แลนด์ 5555 อากาศดีมากกกก
เทือกเขาที่เห็นคือส่วนต่อมาจากเทือกเขาเทียนชานของจีนค่ะ
สวยงามมาก จะขุดรูปสมัยปีที่แล้วที่มาครั้งแรกก็ไม่เจอแล้วอ่ะ
มีแค่รูปที่ถ่ายตอนเครื่องลง กับตอนขึ้นกระเช้าไปรอบไหนสักรอบเนี่ยแหละ

ถ่ายจากเครื่องบินตอนแลนด์ดิ้งงงงง

มาตามหาเอลซ่าาา
Do you wanna build a snowman?!?
- คาซัคฯเป็นประเทศมุสลิมที่มีบิกินี่ขาย และผู้หญิงไม่ได้โพกหัว 
เข้าใจว่าส่วนใหญ่เป็นรัสเซียด้วย 
แต่ป้าๆท้องถิ่นก็สายเดี่ยว เกาะอกกันปกตินะ นี่ก็งงเหมือนกัน

- เป็นมุสลิม แต่ที่เที่ยวที่ควรต้องไปเยือนคือโบสถ์ไม้ ที่สวน 28 ปีปานฟิลอฟค่ะ
เป็นโบสถ์ไม้เก่าแก่อันดับสองของโลก โบสถ์แบบคริสต์รัสเชี่ยนออร์ธอด็อกซ์
สีสันสดใสสวยงามตามท้องเรื่องค่ะ
รอบนี้ได้แวะไปเพราะต้องพาคนรัสเซียเที่ยว
ข้อสำคัญคือการเข้าโบสถ์นิกายนี้ต้องมีผ้าคลุมหัวเหมือนคนอิสลามค่ะ
จริงๆเข้าโบสถ์รัสเชี่ยนออร์ธอด็อกซ์ที่ไหนผู้หญิงก็ต้องคลุมหัวค่ะ


- รอบนี้มาเจอคนคาซัคฯถามทางกับสายรถเมล์ไป 3 คน
 เจอแคชเชียร์พูดคาซัคใส่ไปสองรอบ คือช่วยดูหน้าด้วยว่านี่เข้าใจไหม 
นี่ก็ชอบตีหน้าโง่ใส่ 55 ก็ฟังคาซัคไม่ออกอะ

- ถ้าจะมาคาซัค ง่ายสุดคือบิน Air Astana มีทุกวัน ยกเว้นจันทร์กับพุธ 
ส่วนอังคารกะพะหัสไปแวะโฮจิมินเก๋ๆ 
ให้นั่งรอบนเครื่องเล่นๆ 1 ชม. อ๋อ เครื่องเล็ก ไม่มีความบันเทิงใดใด 
เตรียมหาอะไรไปทำเองนะจ๊ะ
ยกเว้นแต่จะโชคดี บางเครื่องก็มีทีวีส่วนตัว
ทั้งนี้ก็แล้วแต่ดวงนะคะว่าจะเจอไหม
แต่ถ้าได้บิน Business Class ก็จะได้ iPad ไว้ดูคนละเครื่องแทน
เวลาบิน 7 ชั่วโมงจาก กทม. ถ้าไปแวะก็ 10 ชั่วโมง
ถ้าไม่บินตรง ก็มี Etihad หรือ Turkish หรือ Aeroflot 
แต่นั่นแหละไปเช็คกันเองค่ะ ค่าตั๋วแพงเหมือนไปยุโรปเนาะ

หน้าตา iPad เป็นแบบนี้ พร้อมหูฟัง
ข้างๆคือ snack และเครื่องดื่มพอกรุบกริบค่ะ

มี e-magazine ให้อ่านด้วย
เป็น ELLE ภาษารัสเซีย
- อาหารบนเครื่อง ไม่มีหมูแน่นอนอยู่แล้ว
ปกติอาหารมีแค่มื้อเดียว แต่เที่ยวที่ไป via โฮจิมินห์
จะมีของว่างเป็นพายเนื้อวัวแจกทีหลังอีกมื้อ
อร่อยมากกกกกก ไม่ควรพลาดอ่ะ
ส่วนแอลกฮอลล์มีครบทุกรูปแบบ
ใครใคร่กินวอดก้า กิน
เป็นวอดก้ารัสเซีย เทมาที เกือบเต็มแก้วน้ำที่แจกปกติ
แนะนำให้สั่งน้ำมะเขือเทศอีกแก้ว
พูดถึงน้ำมะเขือเทศ คนแถบนี้ชอบกินกันมาก
แต่เราว่ามันติดเค็ม ดอยคำอร่อยกว่า พูดเลย
ส่วนวิสกี้มี Red / Black Label ปกติ
ชงเข้ม และมีน้ำแข็งให้ ไม่ต้องห่วง
เบียร์ให้ทีเป็นกระป๋อง 0.5L ค่ะ
ไวน์แดง ไวน์ขาวแล้วแต่เที่ยวว่าจะได้ไวน์จากประเทศไหน
ทั้งหมดนี้ไม่ได้กินเองนะ เราใสใส เก็บข้อมูลข้างๆล้วนๆเลย
จริงจริ๊งงง

- สนามบินอัลมาตี้เล็กมาก มีอยู่ไม่กี่ gate
อารมณ์เหมือนสนามบินหาดใหญ่บ้านเรา
และมีร้านอาหารเหมือน canteen อยู่ 2 ร้านให้กิน 
ตม.คนไม่เยอะ แต่ชอบพูดรัสเซียใส่หน้าก่อนจะดูว่าเป็นคนชาติไหน 
แล้ว ตม.ต้องทักทุกครั้งที่บินออก ชอบคิดว่านี่เป็นคนคาซัคฯตลอด
สนามบินมี wifi ฟรี แต่จะใช้ได้ไหมนั้นก็อีกเรื่อง

- เวลาเครื่องลง พอล้อแตะพื้น เราจะได้ยินเสียงปรบมือ
ทั้งจากคนรัสเซียและคาซัคฯเสมอ เป็นความยินดีปรีดาอย่างนึง
อันนี้คิดเอง 555 ฉะนั้นไม่ต้องตกใจ
ขอให้ปรบมือเนียนๆตามกันไปค่ะ

- สุดท้าย บินตรงกลับ กทม. ไฟล์ทออกตี 1 ตลอด 
ง่วงจนตาจะปิดแล้ว เอาจริงนี่เป็นการพิมพ์บล็อกที่เร็วมากอ่ะ
และอัพเร็วมากด้วย 5555  
เจอกันอีกที กทม.นะจ๊ะ
 บัยยยยยยย

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

คาซาน (Казань) เมืองแขกในรัสเซีย (ตอนจบ)

วันที่ 2 ของการมาเที่ยวคาซาน
ตื่นเช้ามาเราก็เดินมายังบริเวณถนนคนเดินอีกครั้งเพื่อหาอะไรกินค่ะ
ของกินบริเวณนี้เรียกได้ว่ามีเยอะหลายชาติอย่างที่บอก
เช้านี้พวกเราก็เลยแวะกินอาหารหน้าตาคล้ายเคบับ
ซึ่งในภาษารัสเซียเรียกว่า ชาอูรม่า (Шаурма) หรือชาวารม่า (Шаварма) 
หรือชาเวียรมา (Шаверма) ต่างกันอย่างไรนั้นขึ้นกับท้องถิ่นแต่ละแห่ง
เช่น ช่วงแถบยาโรสลาฟหรือไปทางทเวียร์ จะเรียกว่าชาวารม่า (Шаварма)  
ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเรียกกันว่า ชาเวียรมา (Шаверма)
ส่วนที่มอสโก และคาซาน (รวมถึงเยคาฯบ้านนาของฉัน) เรียกว่า ชาอูรม่า (Шаурма) 


เจ้าเคบับรัสเซียนี่จะทำจากแผ่นแป้งลาวาชแล้วห่อด้วยเนื้อไก่หรือเนื้อวัว
บางที่ก็มีเนื้อแกะหรือเนื้อหมู แต่ที่เจอบ่อยสุดคือไก่ค่ะ
ใส่กะหล่ำปลี มะเขือเทศ แตงกวาดอง หัวหอม และก็ผักชี
จะมีซอสสูตรเฉพาะของเค้า และก็ใส่มายองเนสค่ะ 
ขนาดประมาณ 20 cm ได้ ถือเดินกินสะดวกเลย
แอบเม้านิดนึงว่าสมัยปี 2005 ที่มาแลกเปลี่ยนนั้น เจ้าชาอูรม่าของเราราคา 60 รูเบิ้ลเอง
10 ปีผ่านไปตอนนี้ก็ปาเข้าไป 150-200 รูเบิ้ลกันแล้ว 
ใครอยากชิมล่ะก็ ถ้าไปรัสเซียหาร้านไม่ยากเลยค่ะ เป็นพวก kiosk เต็มไปหมด
(ซึ่งส่วนใหญ่อร่อยนะคะ ถ้าจะกินในร้านต้องร้านอาหารอุซเบก คาซัคฯอะไรแบบนั้น)
เจ้าเคบับนี้ คนรัสเซียกินกันเยอะจนแมคโดนัลด์ก็มีเอาขายด้วยนะคะ
แต่จะเป็นแบบประยุกต์ไปแล้ว พวก beef roll, fish roll แบบนั้น

หลังจากกินกันเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินทางไปยังสถานที่สำคัญของเมือง
นั่นก็คือ... เครมลิน นั่นเองงงงง
ประวัติเครมลินแอบเกริ่นไว้ในตอนที่แล้วแล้วเนอะ
รอบนี้ก็เลยไม่ขอพูดอะไรมากค่ะ
เราเดินเข้าผ่านทางหอ The Saviour Tower มาก็จะเจอทางเดินตรงเข้าไปค่ะ
ทีนี้ไฮไลท์ของเราอยู่ที่มัสยิด Kul-Sharif Mosque
ซึ่งพอเข้าไปแล้วเดินไปสักพักจะอยู่ด้านซ้ายมือ


โมเดลแผนผังของเครมลินที่นี่ค่ะ สวยและเก๋มาก อยู่ด้านในอาคารไหนสักแห่งลืมชื่อ

มาดูผังคร่าวๆของที่นี่กันค่ะ รูปนำมาจาก official page ของ Kazan Kremlin เลยค่ะ
(เราใช้โปรแกรมแต่งรูปใดๆไม่เป็นค่ะ เลยทำผ่าน paint เบสิคมากกก
และชอบตัวอักษรไม่จริงจังด้วย เลยออกมาแบบที่เห็นเนี่ยค่ะ)


ทีนี้เมื่อเราเดินกันเข้ามาก็จะมาถึงมัสยิด Kul-Sharif หรือ Qolşärif ค่ะ
เดิมทีมัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปีคริสตศตวรรษที่ 16 ค่ะ 
ตามชื่อของอิหม่าม Qolşärif ของจักรวรรดิข่านคาซาน
และยังเป็นหนึ่งในผู้นำการสู้รบกับพระเจ้าอีวานที่ 4 (Ivan the terrible) 
และเสียชีวิตในการสู้รบในครั้งนั้นค่ะ 
มัสยิดแห่งนี้นับเป็นหนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียเลยค่ะ

ด้านหน้ามัสยิด 

เนื่องจากช่วงที่เราไปนั้นด้านในมัสยิดปิดซ่อมแซมค่ะ
พวกเราจึงอดเข้าไปชมกัน แต่พอจะรู้ว่าภายในสวยงามมากๆ
เลยเอารูปมาให้ลองดูกันค่ะ credit ตามภาพนะคะ

ภาพจาก birkaadv.wordpress.com
บนเพดาน cr: static.panoramio.com
หลังจากนั้นเพื่อนเราก็มีการถ่ายทำคลิปทักทายเพื่อนๆ social ไม่ cam กันเล็กน้อยแต่พองาม
แล้วก็เดินต่อไปยัง Suyumbike Tower หรือ Söyembikä Tower นั่นแหละค่ะ
ชื่อ Söyembikä ก็มาจากชื่อพระมเหสีของข่านคาซานคนสุดท้ายนั่นเอง
ใต้ตึกนี้จะมีประตูเมทาลิกประกบกันเป็นรูปพระอาทิตย์กับพระจันทร์อย่างละครึ่งค่ะ


แล้วเราก็เดินต่อออกไปยังริมกำแพงค่ะ เพื่อจะเดินออกไปอีกทางของฝั่งเครมลิน
และนี่คือภาพที่เก็บได้จากริมกำแพง .... หน้าหนาวรัสเซียก็เป็นเช่นนี้แลค่ะ
ฝั่งซ้ายมือคือแม่น้ำโวลก้า ซึ่งในช่วงหน้าร้อนสามารถล่องเรือแบบ cruise 
ไปเที่ยวเมืองต่างๆตามสายแม่น้ำได้ด้วยนะ เก๋กู้ด


เราเดินกันมายังฝั่งตรงข้ามกับเครมลินค่ะ ตรงบริเวณนี้จะมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่
เรียกว่า Central Stadium หรือถ้าใครนึกไม่ออก
พอจะดูบอลกันอยู่บ้างก็นี่เลย ทีมฟุตบอล Rubin Kazan 
(คิดว่าแฟนบอลไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักนะ เรายังรู้เลย 55555)
สนามนี้ใช้เป็นสนามบ้านของทีมนี้นั่นเองค่ะ
หลายคนก็สงสัยแกจิไปทำไมวะ สนามบอล
พอดีหนุ่มในทีมอยากไปซื้อของที่ระลึกค่ะ และเราก็โอเคเพราะเราก็ตื่นเต้นอะเนอะ 555
รูปสวยๆไม่มีหรอกค่ะ สภาพตอนนั้นหิมะเละมากกกก
เลยขออนุญาตนำรูปกู้ยืมมาให้ชม

หลักฐานว่าหิมะมันเละมาก ขออำพรางเบ้าหน้าผู้ร่วมทริปนิดนึง

เห็นมัสยิดไกลๆไหมคะ
รูปมุมสูงค่ะ ด้านหลังสนามที่ใหญ่ๆนั่นคือโรงละครสัตว์ ส่วนด้านบนก็เป็นแม่น้ำโวลก้าค่ะ
เสร็จจากสนามฟุตบอลของเราแล้ว ก็ได้เวลากินค่าาา
มื้อนี้เราไปนั่งร้านอาหารกัน ชื่อว่าร้านสตารึย อัมบาร์ (Старый Амбар) Old Ambar
อาหารก็มีทั้งรัสเซีย ตาตาร์ พิซซ่า สลัด สเต็กฯลฯ ให้เลือกกินกันเลย
และแน่นอนคะ มีเครื่องดื่มแอลกันเล็กๆน้อยๆ นี่ก็ยืมเพื่อนมาถ่ายคู่สร้างภาพนิดนึง
สร้างภาพไป 2 แก้ว ก็หายหนาวเลยค่ะ 55555


หลังจากรับประทานกันเสร็จ อย่างที่บอกนะคะว่ทริปนี้เน้นชิวมากถึงมากที่สุด
ก็เลยเดินเล่นกันต่อค่ะ คราวนี้ไปถึงบริเวณมหาวิทยาลัยคาซาน
และห้องสมุดด้วยค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นจำไม่ได้จริงๆค่ะว่าอยู่ห่างกันมากแค่ไหน
เพราะว่ามีเพื่อนนำทางให้ และ ณ ตอนนี้ที่เขียนอยู่ก็ 2 ปีผ่านไปแล้ว

ห้องสมุด
และหลังจากเดินเล่นกันจนเริ่มเย็น ก็ได้เวลาปาร์ตี้อาหารไทยกันเล็กน้อยค่ะ
เลยได้ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของกัน เพื่อจะนำกลับมาทำอาหารมื้อเย็นกินกันที่ห้องเพื่อนค่ะ
พอดีว่าเพื่อนของเราพักอยู่กับพี่ๆคนไทยที่ไปทำงาน ก็เลยมีพื้นที่ครัวให้ไปทำกินได้
มื้อเย็นวันนั้นจัดว่าเด็ดมากๆค่ะ ทั้งส้มตำ ลาบหมู ข้าวเหนียว ฯลฯ
ลาภปากคนไม่มีเครื่องปรุงแบบเราๆนัก
จากนั้นก็สั่งแท็กซี่กลับมาที่โฮสเทล
ค่าแท็กซี่ก็ตกประมาณ 200 รูเบิ้ลได้ ถือว่าปกติมากค่ะ

เช้าวันสุดท้ายที่คาซาน เราไม่รีบเลยค่ะ slow life ของจริง
กว่าจะตื่น กว่าจะจัดของ แล้วก็ check out ออกมา
ไปสถานีรถไฟกันค่ะ รถไฟของเรารอบเย็นๆค่ำๆ และจะไปถึงเยคาฯตอนเช้า
แต่ก่อนขึ้นรถไฟเราต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน
และแน่นอนแถวนั้นมีร้านอาหารแบบรัสเซียที่เรียกว่า Столовая ด้วยค่ะ
เป็นแบบโรงอาหาร คือเลือกสั่งเอาเลยว่าอยากกินอะไร
อารมณ์คล้ายข้าวราดแกงบ้านเรา แถมอร่อยและราคาไม่แพงด้วย


จริงๆแล้วคาซานมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะแยะนะคะ แต่พอดีเราไม่ได้ไปเที่ยวเลย
ถ้าใครมีโอกาสก็ลองมาเที่ยวชมเมืองนี้ดูนะคะ
ยิ่งตอนนี้ผ่านการจัดกีฬามหาวิทยาลัยโลกไปแล้ว ก็ยิ่งเจริญกว่าเดิม
แถมยังเป็นหนึ่งในสนามที่จัดกีฬาฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพด้วย
ค่าครองชีพก็ถือว่าถูกกว่าในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วย
(และถ้าจำไม่ผิด ถูกกว่าเยคาฯเสียด้วย)
รวมราคาทั้งทริปนี้ของเรา ก็อยู่ที่ประมาณ 5 พันรูเบิ้ลค่ะ
ถือว่าโอเคเลย เพราะรวมค่าตั๋วรถไฟและค่าที่พักเรียบร้อยแล้ว

หลังจากจบทริปนี้ก็มาตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจเรียนเทอม 2
ของชีวิตเด็ก ป.โทต่อไปค่ะ т^т
ฮือ โลกความจริงโหดร้ายเสมอออ

-----------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

คาซาน (Казань) เมืองแขกในรัสเซีย (ตอนแรก)

หลังจากไม่ได้เขียนบลอกมานาน จนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีอยู่
วันนี้หลังจากรู้สึกว่าง บวกกับคิดถึงรัสเซียแบบแปลกๆ
ก็เลยคิดว่าควรจะแบ่งปันความรู้ที่พอมีอยู่น้อยนิด ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้อ่านกันบ้าง 
มาเริ่มกันเลยก็แล้วกันนะคะ 
-----------------------------------------------------

เมืองคาซาน (Казань) เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐตาตาร์สถานแห่งประเทศรัสเซียค่ะ มีประชากรประมาณ 1 ล้านกว่าคน และนับเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอับดับ 8 ของประเทศรัสเซียค่ะ คำว่า "คาซาน" นั้นยังไม่มีใครรู้ความหมายที่แน่ชัด แต่ตำนานที่โด่งดังมากๆคือมาจากคำว่า "qazan" ในภาษาบูลการ์ หรือภาษาตาตาร์ แปลว่า หม้อ นั่นเอง 


ภาพพาโนรามาของเมืองคาซาน บริเวณเครมลินค่ะ
cr: http://fratria.ru/ontour/russia/kazan

ว่ากันว่าเมืองคาซานนี้สร้างขึ้นมาได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ปีแล้วค่ะ 
โดยอ้างอิงข้อมูลจากส่วนของเครมลินที่คาซานนั่นเอง
 คำว่า "เครมลิน" นั้นคนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักในนามของพระราชวัง 
แต่จริงๆแล้วแปลว่า ป้อมปราการค่ะ 
ซึ่งภายในป้อมปราการนั้นก็จะมีทั้งพระราชวัง ที่ทำการของรัฐบาล วิหารต่างๆ 
แต่ก็มีหลายความเห็นที่ว่าคาซานตั้งมาเมื่อปี 1300 กว่าๆเท่านั้น จะยังไงก็ตามแต่ 
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 (ช่วงปี 1438 - 1552) นั้นคาซานถูกปกครองแบบจักรวรรดิข่าน
 จนกระทั่งปี 1552 ภายใต้การนำของพระเจ้าอีวานที่ 4 คาซานก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย 
 มีการเผาเมืองเพื่อทำลายวัฒนธรรมแบบข่านทิ้งไป  
และในปี 1556-1562  ก็ได้เริ่มการก่อสร้างพระราชวังเครมลินสีขาวขึ้นมาใหม่ 
โดยใช้ช่างชาวปสคอฟชื่อนายโปสทนิค ยาคอฟเลฟ และ นายอีวาน ชีเรียเยฟ ซึ่งเป็นผู้คุมการก่อสร้างโบสถ์หยดเลือดที่จัตุรัสแดงเข้ามาดูแลการรีโนเวทเครมลินและกำแพงทีนี่แทนค่ะ 

ภาพคาซานสมัยช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ค่ะ
cr: http://komanda-k.ru/

เดิมทีตัวเครมลินสร้างด้วยไม้ แต่แบบใหม่นี้สร้างออกมาให้มี 13 หอคอย 
ว่ากันว่าสร้างใหม่อย่างไรก็ไม่สวยเท่าสมัยข่าน 
แถมยังมีรับสั่งให้มีการสร้างโบสถ์คริสต์ออร์ธอด็อกซ์ 
รวมทั้งวิหารตามมาอีกมากมายด้วย 
จนกระทั่งล่วงเลยผ่านยุคสมัยสหภาพโซเวียตไปแล้ว 
ณ ตอนนี้ หอคอยทั้งหมดเหลือเพียงแค่ 8 หอ มีเพียงแค่ 2 หอที่นับเป็นทางเข้าหลักของเครมลิน 
นั่นก็คือ หอเตือนภัย The Alarm Tower (Тайницкая башня) 
และหอนาฬิกาหรือที่เรียกว่า The Saviour Tower (Спасская башня) 
ซึ่งหออันหลังนี่ยังเป็นหอคอยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นอนุสรณ์สำคัญของสถาปัตยกรรมยุคกลางในรัสเซียด้วยค่ะ

หอนาฬิกาหรือที่เรียกว่า The Saviour Tower (Спасская башня)
หอเตือนภัย The Alarm Tower (Тайницкая башня)
cr: http://rus-luck.livejournal.com/6514.html

หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต คาซานก็กลับกลายมาเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ 
เป็นเมืองแขกเพราะวัฒนธรรมตาตาร์ได้กลับคืนมา 
จึงทำให้คาซานเป็นเมืองที่น่าสนใจเมืองหนึ่งของรัสเซียเลยค่ะ


ทีนี้กลับมาเรื่องของเราค่ะ เรื่องของเรื่องก็คือทริปนี้ไม่ได้เตรียมตัว 
จริงๆเปิดเทอมแล้วด้วยตอนนั้น หลังจากกลับจากทรานส์ไซบีเรียทริปได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์
ก็น่าจะ 18-20 ก.พ. 2013 ค่ะ ไปกัน 3 วัน (ทำไมจำแม่น รูปในไอโฟนมันขึ้นวันที่ค่ะ)
พอดีเมทจะพาหนุ่มไป  เรากับเจ๊ก็เลยมาด้วย 
 เพราะคาซานกับเราเป็นเมืองที่คลาดกันตั้งแต่สมัย AFS 
เอาง่ายๆคือไม่ได้มาซะที  รอบนี้เลยมาด้วย 
ซื้อตั๋วรถไฟมาจากเมืองเราค่ะ เยคาเตรินเบิร์ก > คาซาน 
ใช้เวลาเดินทางน่าจะราวๆ 12 ชั่วโมง คือนอน 1 คืนพอดี 
ราคาไม่ถึง 1,000 รูเบิ้ล (ถ้าเป็นตอนนี้ก็ 6-7 ร้อยบาท)
เราไปถึงประมาณเที่ยงๆได้ค่ะ มาถึงสถานีรถไฟก็หน้าตาแบบนี้ล่ะค่ะ

Kazan ตั้งอยู่ระหว่างมอสโกมาเยคาเตรินเบิร์กค่ะ
ถ้าใครนั่งรถไฟจากมอสโกมาก็จะใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง หรือ 1 คืนพอดีค่ะ
สถานีรถไฟ Kazan 1
จำแหล่งที่มาไม่ได้
เอาจริงๆก็คือตอนนั้นกำลังก่อสร้างสถานีรถไฟ Kazan 2 ติดกันเลยค่ะ ใหม่เอี่ยมมากๆ เพราะว่าไว้ต้อนรับกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน ครั้งที่ 28 เมื่อปี 2013 ไปไหนก็จะมีป้ายภาษารัสเซีย อังกฤษ และตาตาร์อยู่เสมอ ไฮโซวววว อะตอนนี้เสร็จแล้ว ขอแนบรูปมาให้ชม

สถานีนี้ติดกับสถานีเดิมเลยค่ะ มีทางเดินเชื่อมกันเก๋ๆ


(สำหรับใครที่สงสัยทำไมรอบนี้ บลอกแกมันมีแต่รูปติดเครดิตวะ แล้วรูปแกล่ะ 
ตอบเลยค่ะว่าไม่มี 5555 ล้อเล่นๆ ก็มีบ้าง แต่น้อยมาก 
พอดีว่ามีเพื่อนเรียนอยู่ที่นั่นคนนึงซึ่งเป็นคนติด social มากกกกกก
 เราเลยไม่เน้นถ่ายรูปเลย ให้มันถ่าย ผลปรากฎจึงมีรูปวิวไม่เยอะ 
แถมไปช่วงหิมะละลายเมืองเละมากค่ะ 555)

เราพักกันที่โฮสเทลแห่งหนึ่งไม่ไกลจากตัวถนนคนเดินของเมืองค่ะ
เอาจริงลืมชื่อไปแล้วค่ะ แต่เป็นโฮสเทลเล็กๆเป็นกันเอง
ห้องนึงนอนได้ 4 คนก็พอพวกเราพอดีค่ะ
จัดแจงเก็บของเสร็จ อาบน้ำเล็กน้อยพองามก็ออกมาเดินเล่นกันค่ะ
ที่แรกที่เราไปกันคือ...ถนนคนเดินค่ะ
หรือถนน Bauman ถนนนี้คนที่นี่เค้าเทียบเท่าถนนอารบัทของมอสโกเลย


รูปของเราถ่ายจากกล้อง iPhone 4 นะฮ้าาา บางรูปก็แต่งสีไว้แต่สมัยนู้น
บางรูปก็ไม่ได้แต่ง และนี่ก็ไม่ขยันจิแต่งด้วย 5555


Epiphany Cathedral หรือ  Богоявленский собор
ข้างๆที่เห็นหัวทองๆคือส่วนตัวโบสถ์ค่ะ สีฟ้า ยอดโดมหัวหอมสีทอง
แมคโดนัลด์ก็สีสันสดใสมาก
ธนาคาร

เราก็เดินชมเมืองกันไปเรื่อยๆค่ะ ร้านอาหารที่นี่มีอาหารหลากหลายค่ะ
อาหารตาตาร์เองก็เยอะมากกก ที่โด่งดังก็มีหลายจานนะคะ 
แต่ที่พลาดไม่ได้จริงๆก็คือขนมปังอบหรือพายไส้เนื้อ ที่เรียกว่า วัค-เบลิช (Вак-Белиш)
สำหรับใครไม่กินเนื้อ บางที่ก็มีไส้อื่นให้เลือกนะคะ เห็ดบ้าง มันฝรั่งบ้าง ไก่บ้าง
อีกอันนึงที่ไม่ควรพลาดก็คือซุปใส่เส้นหรืออารมณ์ก๋วยเตี๋ยวบ้านเราที่ชื่อว่า ต๊อกมาช (токмач) 
และปิดท้ายด้วยขนมหวานสุดอร่อยและหว๊านหวานที่ชื่อว่า ชัค-ชัค (Чак-чак) ค่ะ
เวลารับประทานต้องกินกับชาค่ะ ปกติคนที่นี่จะกินชาไม่ใส่น้ำตาล
พอกินกับขนมหว๊านหวานก็จะเข้ากันได้พอดีค่ะ
ต๊อกมาช
เบลิช
ชัค-ชัค

เรากินกันจนอิ่มแล้วก็เดินต่อค่ะ ไปยังโบสถ์ Cathedral of the Apostles Peter and Paul
หรือที่เรียกว่า  Петропавловский собор ซึ่งเป็นโบสถ์ออร์ธอด็อกซ์
ที่หน้าตาไม่เหมือนออร์ธอด๊อกซ์แม้แต่น้อยเลยค่ะ
โบสถ์เดิม ณ ที่นี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี 1565 ค่ะ แต่ต่อมาในสมัยพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1
เกิดสงครามรัสเซีย-เปอร์เซียขึ้นมา ซึ่งพระเจ้าปีเตอร์ได้รับชัยชนะในครั้งนั้น
ก็เลยมีการสร้างโบสถ์นี้ขึ้นใหม่ในปี 1722 เพื่อให้เกียรติแก่พระเจ้าปีเตอร์
โดยสร้างในสไตล์บารอคแบบมอสโก (Moscow Baroque หรือ Naryshkin Baroque)
ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 17 ถึงต้น 18 นั่นเองค่ะ
ภาพจากวิกิพีเดีย
ถ่ายคู่กับหอระฆังค่ะ
คือฉากนี้มีแต่ตอนเผลอและไม่พร้อม
จึงต้องขอเอาแอปเปิ้ลปิดหน้าเจ๊
ที่กำลังด่าเพื่อนที่ถ่ายด้วยประการฉะนี้ 555


เสร็จจากโบสถ์นี้เราก็เดินเล่นกันต่อค่ะ ชิวๆไปเรื่อยตามประสาเด็กโดดเรียน
ช่วงนั้นอากาศประมาณ -10 ถึง -15 ค่ะ 
ถือว่าไม่หนาว ใส่โค้ทเดินได้สบายมากๆค่ะ

พอตกเย็นก็ไปทำธุระกันต่อเล็กน้อย ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ค่ะ 5555
สำหรับวันแรกก็ยังไม่มีอะไรมาก เน้นชิวๆสบายๆ
เพราะมาจากอากาศ -25 ยังไงพี่มาเจออากาศแบบนี้ พี่ก็สบายอะนะ 
ส่วนอีก 2 วันที่เหลือจะเป็นไง ไว้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ

___________________



วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Tobolsk - ไข่มุกอีกแห่งของรัสเซีย

มีบทกลอนรัสเซียบทนึงกล่าวไว้ว่า
ไข่มุกของรัสเซียมีหลายที่ ตาบอลสก์นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ปกคลุมด้วยหิมะขาวแห่งเหมันต์ เป็นเสน่ห์อัศจรรย์ไซบีเรีย(ตะวันตก) 
(เอมแปลเอง พยายามให้สละสลวยแล้วแต่เหมือนจะไม่ช่วยเลย 555)

Tobolsk หรือตาบอลสก์ นั้น เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศรัสเซีย
อยู่ในเขตไซบีเรียตะวันตก ในพื้นที่ตอนใต้ของเขตตูเมนค่ะ
มีแม่น้ำ 2 สายสำคัญหลักๆคือ แม่น้ำตาบอล (Тобол) และอีรทืช (Иртыш)
เมืองนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1587
แต่มาได้รับอนุมัติเป็นเมืองเมื่อปี ค.ศ.1590 เป็นเมืองแรกในเขตไซบีเรีย
เรียกได้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่สำคัญเมืองหนึ่งของไซบีเรียกันเลยทีเดียว

ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองตาบอลสก์ค่ะ (ในวงกลมสีแดง) 

ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนเรียนปีเตรียมภาษาค่ะ (ช่วงพฤษภา ปี 2012) 
เป็นปกติของนักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนที่รัสเซียไม่ว่าจะมาเรียนเอง
หรือเป็นเด็กทุนรัฐบาลไหนๆก็ต้องเรียนเตรียมภาษากันก่อนเสมอ
ในปีนี้เองที่เราจะได้เจอเพื่อนต่างชาติมากมาย
อันนี้ก็แล้วแต่เมืองเลยค่ะ ว่าเมืองไหนคนชาติไหนมากันเยอะ
เมืองเยคาฯบ้านนาของเอมก็มีสัญญากับมหาลัยที่เกาหลีใต้
และก็มีจากจีน ญี่ปุ่น สเปน อเมริกา อิตาลี อิรัก อิหร่าน อียิปต์ ตุรกี ประมาณนี้
ทริปนี้เลยเป็นทริปที่อาจารย์รัสเซียจัดขึ้นเพื่อให้เด็กต่างชาติ
ได้ไปเที่ยวกันนั้นเอง

ทำไมถึงมาเป็นเมืองนี้ได้ ก็เพราะ
1.ไม่ไกลจากเยคาฯค่ะ ดูจากแผนที่จะเห็นเมือง Yekaterinburg ห่างออกไป
นิดเดียว นั่งรถไฟกัน 8-10 ชั่วโมงก็ถึง (ก็คือนอนคืนนึงพอดี)
2.มีส่วนที่เรียกว่า "พระราชวังเครมลิน" ซึ่งมีไม่กี่เมืองในประเทศรัสเซียที่จะมีกัน
3.และด้วยในเครมลินนี้เอง จะมีโบสถ์สำคัญ และเป็นเป้าหมายหลักของอาจารย์จัดทริป
(เอมเรียกอาจารย์จัดทริปว่าเจ๊โบสถ์ เนื่องจากแกเคร่งศาสนาและชอบพาเที่ยวโบสถ์)
เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้เอมคิดเอาเองล้วนๆนะ 5555 
แต่ก็ตัดสินใจไป เพราะตั้งใจจะเที่ยวให้ทั่วรัสเซียเท่าที่ทำได้ 

ทริปนี้เอมไปกับเพื่อนๆหลายคลาสเลย รวมถึงคุคุ รูมเมทคนสวยด้วย
พร้อมกับอาจารย์อีก 2 ท่าน (หนึ่งในนั้นคือเจ๊โบสถ์นั่นเอง)
โดยนั่งรถไฟออกจากเยคาฯบ้านนาตอนเย็น เพื่อจะไปถึงเมืองตาบอลสก์ตอนเช้า

ภายในรถไฟ โบกี้ชั้น 3 คันใหม่

อาจารย์ 2 ท่าน ดร.ทั้งคู่
ด้านขวาเสื้อขาวคือเจ๊โบสถ์
ส่วนด้านหลังคือกำลังเล่น ABCD กันอยู่
เรานั่งกันไปจนถึงเมืองตาบอลสก์ค่ะ ขึ้นรถตู้โดยสารไม่ประจำทางไปจนถึงที่พัก
ที่พักเราเป็นโรงแรมเล็กๆชื่อว่ากอสตีนนึย โดม (Гостиный дом) Гостиный дом
ด้านหน้าที่พักมีป้ายบอกระยะทางไว้ด้วย

ห่างจากมอสโก 2908 กิโลเมตร
วลาดิวอสตอก 6400 กิโลเมตร
เอมพักกับคุคุและเพื่อนคนจีนอีกสองคน สภาพห้องก็โอเคเลย อบอุ่น ไม่หนาวเกินไป


เสร็จจากวางของแล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวแล้วค่ะ
เมืองนี้อย่างที่บอกสถานที่สำคัญที่สุดเลยก็คือเครมลินนั่นเอง

แผนผังที่เที่ยวพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
ลงจากรถมาก็จะเจอป้ายแผนผังค่ะ บริเวณนี้จะเรียกว่าจัตุรัสแดงเช่นกัน
และมีทางเดินยาวไปถึงส่วนที่เรียกว่าเครมลิน


เนื่องจากช่วงที่เอมไปคือต้นเดือนพฤษภาคมค่ะ คือวันที่ 1-4 พฤษภาเลย
ในรัสเซียนับเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ว่าที่นั่นอากาศยังเย็นเนื่องจากหิมะเพิ่งละลายไป
และเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูจีงมีฝนตกตลอดเลยจะเห็นน้ำเฉอะแฉะในรูปเต็มไปหมด

เดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะเห็นกำแพงเครมลินค่ะ
เครมลินของที่นี่พิเศษตรงที่ เป็นเครมลินที่สร้างจากหินที่เดียวในไซบีเรีย ค่ะ

ส่วนนี้เรียกว่า Гостиный двор หรือแปลได้ว่าเป็นแหล่งการค้า
ในอดีตเคยเป็นศูนย์การค้า ตลาดซื้อขายของยูเรเชีย
วิหารเซนต์โซเฟีย หรือ
St.Sophia-Assumption Cathedral
(Софийско-Успенский кафедральный собор)
ว่ากันว่าหินก้อนแรกที่วางสร้างวิหารสีสวยอันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนี้
เริ่มเมื่อปี ค.ศ.1681 แต่การก่อสร้างจริงๆเริ่มขึ้นเมื่อปี 1683
ตัวอย่างการก่อสร้างก็เลียนแบบมาจากคอนแวนท์หญิงในกรุงมอสโก
การก่อสร้างดำเนินไปตั้งแต่ปี 1683 - 1686 
วิหารนี้ถูกปิดลงเมื่อปี 1920 ในสมัยสหภาพโซเวียต 
จนกระทั่งปี 1989 จึงได้รับอนุมัติจากรัฐบาลโซเวียต
ในการส่งคืนวิหารกลับสู่ศาสนาคริสต์ออร์ธอด็อกซ์ของรัสเซีย
จึงได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ภายในเกิดขึ้นค่ะ

บรรยากาศภายในโบสถ์วันอาทิตย์

เวลาเข้าไปในวิหารหรือโบสถ์คริสต์นิกายรัสเชี่ยนออร์ธอด็อกซ์นั้น 
ผู้หญิงจะต้องใส่กระโปรงยาวคลุมเข่าค่ะ และมีผ้าคลุมศีรษะด้วย
เวลาจะดูว่าโบสถ์หรือวิหารนี้สร้างอุทิศให้นักบุญคนไหนก็ง่ายมากค่ะ
ให้สังเกตที่มุมขวามือของเราเวลามองไอคอนโนตาซิส
ชั้นล่างสุดเป็นนักบุญคนไหน ก็จะเป็นชื่อวิหารหรือโบสถ์นั้นนั่นเองค่ะ

เสร็จจากด้านในแล้วเดินออกจากวิหารกันมาจะเจอสภาพแบบนี้ค่ะ


หันไปทางซ้ายก็จะเจอกับหอระฆังตั้งตระหง่านอยู่อย่างสวยงาม

หอระฆัง
เดินลงตามทางลาดไปเรื่อยๆก็จะพบว่าสามารถเดินรอบกำแพงเครมลินได้ค่ะ
ซึ่งก็จะเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองเลย เพราะเครมลินตั้งอยู่สูงกว่าแบบในภาพ

ภาพนี้ถ่ายโดยอดีต ปธน.เมดเวเดฟค่ะ
ขอยืมใช้หน่อยนะคะท่านพี่หมี :)
ทางเดินรอบนอกกำแพง
ทางเดินรอบนอกกำแพง
วิวที่มองเห็นจากทางเดินค่ะ
วิวที่มองเห็นค่ะ นี่เป็นโบสถ์คริสต์คาทอลิกค่ะ
ออกจากดูวิวรอบกำแพงแล้ว เราก็จะเดินลงไปข้างล่างกันค่ะ
โดยผ่านบันไดไม้หน้าตาแบบนี้ บางที่ก็บอกเรียกว่าบันไดโซเฟีย
แต่เอมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
อาคารด้านบนที่เห็นเป็นเหมือนกรมคลังของผู้ว่าการรัฐในสมัยก่อนค่ะ

ลงมาข้างล่างแล้วถ่ายขึ้นไปจะเห็นแบบนี้ค่ะ
เมื่อเดินออกมานอกถนนก็จะเจอกับอาคารบ้านเรือนที่ทันสมัย
ผิดหูผิดตากับความเป็นโซเวียตมากๆเลย



เราเดินต่อไปยังโบสถ์คริสต์คาทอลิกที่เรามองเห็นจากด้านบนกัน
โบสถ์นี้ชื่อว่า Church of the Holy Trinity (Храм Пресвятой Троицы)
เป็นโบสถ์คริสต์โปแลนด์ค่ะ สร้างขึ้นเมื่อปี 1900 และเสร็จสิ้นในปี 1909 ค่ะ




เสร็จจากโบสถ์แล้วก็เดินกลับขึ้นไปกันค่ะ เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง
สำหรับคนรัสเซียเวลาพักทานอาหารกลางวันคือบ่าย 2 ค่ะ
ไม่ใช่เที่ยงตรงแบบบ้านเรา เรียกว่าเดินกันจนหิวโซเลยล่ะ
เราเดินกลับขึ้นมาทางเดิมค่ะ


ขึ้นมาแล้วก็จะเห็นตึกศาลว่าการอยู่ด้านซ้ายมือ


หันไปด้านขวา ก็ได้เห็นกับรุ้งเหนือวิหารเลยค่ะ ส๊วยสวยยยย
รุ้งกินน้ำ
ทางเดินออกจากเครมลิน
เดินกลับกันไปที่จัตุรัสแดงค่ะ เราจะเห็นร้านอาหารอยู่ฝั่งซ้ายมือลิบๆค่ะ 
เป็นร้านอาหารรัสเซียพื้นเมืองที่ดูโอ่อ่ามากๆ
และยังเป็นบ้านไม้สวยงามเลยทีเดียว
ชือว่าร้านลาเดนึย (Ладейный ресторан) ค่ะ
ด้านหน้าร้านอาหาร
จัดโต๊ะแบบรัสเซียแท้ๆต้องมีผ้าปูโต๊ะแบบนี้
นั่งประจำที่กันแล้ว อาหารที่เราจะได้กินกันวันนี้ก็คือ
ซุปบอร์ชของรัสเซียค่ะ เป็นซุปสีแดงจากบีทรูท
เป็นอาหารประจำชาติก็ว่าได้ แล้วต่อด้วยเกี๊ยวรัสเซียค่ะ
ชื่อว่าเปลเมนี (Пельмени)  จะเลือกไส้เนื้ออะไรก็แล้วแต่เลย
มีทั้งไก่ วัว แกะ ม้า กระต่าย ปลา กุ้ง หมู ฯลฯ
(มัวแต่หิวโซ เลยไม่ทันได้ถ่ายรูปซุปค่ะ - -")

หน้าตาเกี๊ยวรัสเซียค่ะ
กินกับครีมเปรี้ยวหรือ sour cream นั่นเอง
หลังจากกินเสร็จแล้วเราก็ออกมาเจอกับฟ้าใสๆแล้ว
จริงๆก็ยังไม่พ้นจากบริเวณเครมลินสักเท่าไร
ด้านหน้าทางเดินเข้าไปเครมลินจะมีน้ำพุอยู่ค่ะ เป็นทางเดินผ่านไปยังพิพิธภัณฑ์ที่เราจะไปกัน



เดินข้ามถนนมาก็จะถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Художественный музей)
แต่ๆๆๆวันหยุดยาวค่ะ พิพิธภัณฑ์ปิดอีกแล้ว т^т

พิพิธภัณฑ์ศิลปะ
(จริงๆมีรูปปั้นรถม้าอยู่ แต่ถ่ายเก็บมาไม่หมด แหะๆ)
เราจึงเดินไปร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวในเมืองกัน
เพราะตอนเย็นจะมีปาร์ตี้เล็กๆน้อยๆ
วันแรกของทริปก็เลยจบลงแบบเรียบๆเบาๆ

------------------------------------------------------

อรุณสวัสดิ์ยามเช้าของวันที่ 2 ของทริปค่ะ :)

วิวจากหน้าต่างที่ห้อง 
วันนี้เราลงมากินข้าวเช้ากันที่โรงแรมค่ะ
แล้วก็กระโดดขึ้นรถตู้โดยสารไม่ประจำทางของเราไปนอกเมืองกัน
ที่ๆเราจะไปกันนั้นเรียกว่า อะบาลัค (Абалак)
เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มี monastery ของนักบวชชาย
และสถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆสำหรับนักท่องเที่ยว

Monastery ที่ว่าค่ะ
(Свято-Знаменский Абалакский мужской монастырь)

หมู่บ้านอะบาลัคแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเก่าแก่มากๆๆ เก่าขนาดที่ว่ามีการสร้างขึ้นมา
ตั้งแต่ยังไม่มีชาวรัสเซียในพื้นที่ แต่เป็นชาวตาตาร์ต่างหาก
นั่นหมายความว่าก่อนศตวรรษที่ 15 เสียอีก
ชื่อ"อะบาลัค"นี้ก็ได้มาจากชื่อของเจ้าชายตาตาร์ท่านนึงในภาษาตาตาร์นั่นเอง

เขตท่องเที่ยวอะบาลัค
หน้าทางเข้าค่ะ
ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านรัสเซียค่ะ
มีหลายเรื่องเลยล่ะ



อันนี้เป็นเรื่อง Добрыня Никитич и Змей Горыныч
อันนี้คือสุนัขจิ้งจอก สัญลักษณ์แห่งความเจ้าเล่ห์
เอมชอบนิทานพื้นบ้านเรื่อง колобок มากกกก
สนใจลองดูใน колобок ได้ค่ะ 
อันนี้ตารางหมากรุกยักษ์ ก็ไม่รู้เรื่องไหนนะ 5555
เสร็จจากเที่ยวหมู่บ้านอะบาลัคแล้วก็นั่งรถกลับเข้าเมืองกันค่ะ
ได้เวลากินข้าว ซึ่งวันนี้ก็ยังคงเป็นร้านเดิม (เพราะเมืองเล็กๆไม่มีร้านอะไรเท่าไร)
แต่เมนูเปลี่ยนนะคะวันนี้ อิอิ

สเต็กหมูโปะด้วยสัปปะรด มะเขือเทศ หอมใหญ่
และ cottage cheese ค่ะ อบพอประมาณและโรยด้วยพลาสลีย์และผักชีลาวสับ

อันนี้ของหวาน เป็นเกี๊ยวเหมือนกันแต่ไส้หวาน
พวกแยมเบอร์รี่ต่างๆ เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่
เรียกว่าวาเรนนิกี้ (Вареники)
แล้วราดด้วยครีมเปรี้ยว
กินเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางไปยังศูนย์งานปั้น (ไม่รู้จะเรียกเป็นภาษาไทยยังไงดี)
นั่งรถเมล์กันไป ราคาค่ารถ (ตลอดสาย) ก็ถูกมากๆค่ะ 10 รูเบิ้ล (เทียบเท่า 10 บาท) เท่านั้น
พอเราไปถึง คุณป้าก็สาธิตวิธีการปั้นดินให้เป็นรูปร่าง อารมณ์เหมือนปั้นดินเหนียวนั้นแล
ผลงานดีจนไม่กล้าจะเอารูปลงเลยทีเดียว 55555
แต่ว่าเราทุกคนก็ได้ลองปั้นกับเครื่องตามคุณป้าผู้สอนเลย
มือเลอะกันไปตามๆกัน สนุกดีเหมือนกันนะ



แถมงานนี้ยังได้เครื่องปั้นของตัวเองกลับมาติดไม้ติดมือคนละชิ้นด้วย
เสร็จแล้วเราก็ได้ไปเดินเล่นรอบๆเมืองกันค่ะ
ที่นี่ก็มีรูปปั้นอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญเช่นกัน
อย่างคุณปีเตอร์ (Пётр Павлович Ершов) คนนี้
เป็นนักเขียนชื่อดังในสมัยจักรวรรดิรัสเซียที่เกิดใกล้ๆเมืองนี้
และมาเสียชีวิตที่เมืองนี้เมื่อปี ค.ศ.1869
นิทานที่โด่งดังที่สุดของเขาก็คือนิทานกลอนเรื่อง The Little Humpbacked Horse
(Конёк-горбунок) หรือ The Magic Horse ค่ะ



หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยแล้วเราก็กลับเข้าที่พัก
วันสุดท้ายเราก็ออกเดินทางกลับเมืองเยคาฯบ้านนาของเรา
โดยรถไฟเช่นเดิม สะดวกสบายดีนักแล 

สถานีรถไฟที่เมืองตาบอลสก์
ถึงสถานีรถไฟที่เมืองก็นั่งรถทรอลเลกลับหอเหมือนเดิม
จบทริปเล็กๆอย่างบริบูรณ์
กลับมาคราวนี้ รู้สึกบ้านนาของเอมไม่ธรรมดาอีกต่อไป 
ศิวิไลซ์กว่าเยอะเลย :)